วันศุกร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2560

ดอกบัว

ดอกบัว  เป็นพืชน้ำล้มลุก ลักษณะลำต้นมีทั้งที่เป็นเหง้า ไหล หรือหัว ใบเป็นใบเดี่ยวเจริญขึ้นจากลำต้น โดยมีก้านใบส่งขึ้นมาเจริญที่ใต้น้ำ ผิวน้ำหรือเหนือน้ำ รูปร่างของใบส่วนใหญ่กลมมีหลายแบบ บางชนิดมีก้านใบบัว
              บัวเป็นราชินีแห่งไม้น้ำ จัดเป็นพันธุ์ไม้น้ำที่ถือเป็นสัญญลักษณ์ของคุณงามความดี บัวหลวงชอบขึ้นในน้ำจืดออกดอกตลอดปี ชอบน้ำสะอาด อยู่ในน้ำลึกพอสมควร ถิ่นกำเนิดของบัวอยู่ในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ จะเริ่มบานตั้งแต่ตอนเช้า ก้านดอกยาวมีหนามเหมือนก้านใบ ชูดอกเหนือน้ำ และชูสูงกว่าใบเล็กน้อย กลีบเลี้ยง 4-5 กลีบ สีขาวอมเขียวหรือสีเทาชมพู ร่วงง่าย กลีบดอกจำนวนมากเรียงซ้อนหลายชั้น เกสรตัวผู้มีจำนวนหลายสี

1. บัวหลวง (ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า Lotus ภาษาไทยใช้คำว่า “ปทุมชาติ”ลักษณะของบัวหลวง มีลำต้นอยู่ใต้ดินแบบเหง้าและไหล เมื่อเป็นต้นอ่อนจะมีลักษณะเรียวยาวทอดอยู่ในตม แต่เมื่อโตเต็มที่จะมีต้นที่อวบอ้วนขึ้น มีข้อเป็นปล้องที่สามารถเกิดราก ใบ และแตกหน่อเป็นดอกใหม่ได้

ลักษณะของบัวหลวง เป็นใบเดี่ยว กลมใหญ่สีเขียวอมเทา ดอกสามารถชูได้เพียงสองหรือสามวันเท่านั้น ขอบใบยกผิวด้านบนมีขนอ่อน ๆ ทำให้เมื่อโดนน้ำจะไม่เปียกน้ำ เมื่อใบอ่อนใบจะลอยปิ่มน้ำ ส่วนใบแก่ชูพ้นน้ำ ก้านใบและก้านดอกมีหนาม ส่วนดอกเป็นดอกเดี่ยวขนาดใหญ่ชูสูงพ้นผิวน้ำ ประกอบด้วยกลีบเลี้ยง 4-6 กลีบ มีทั้งชนิดดอกซ้อนและไม่ซ้อน สีของกลีบดอกมีทั้งสีขาว สีขมพู และสีเหลือง (แล้วแต่สายพันธุ์) มีกลิ่นหอมอ่อนๆ บานในเวลากลางวัน มักพบดอกบัวชนิดนี้ในทางทวีปเอเชียตอนใต้และตะวันออกเฉียงใต้ ดอกบัวประเภทนี้มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนจึงปลูกได้ในประเทศไทย ประกอบกับกลีบดอกที่ใหญ่ สวยงาม คนไทยจึงนิยมนำดอกบัวหลวงจัดใส่แจกัน บูชาพระและใช้ประกอบในพิธีทางศาสนา

ดอกบัวเหมาะกับคนที่มีอาการอ่อนเพลีย เพิ่งหายจากอาการป่วยไม่สบาย หรือในหญิงตั้งครรภ์แล้วมีอาการแพ้ท้อง อาเจียนจนไม่มีแรง ให้กินเม็ดบัวอาจเป็นแบบสดหรือแบบแห้งก็ได้ เพราะเป็นแหล่งรวมของสารอาหารหลายชนิดสูง เพิ่มพลังงานให้ร่างกาย ทำให้กลับมามีแรงยิ่งขึ้น

ดอกบัวมีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการหวัด แก้อาการคัดจมูก น้ำมูกไหล และยังเป็นยาแก้ไอ แก้ไข้ ด้วยการหั่นใบบัวให้ละเอียด ตากแดดจนแห้ง จึงนำมาใช้มวนเพื่อสูดดมกลิ่น


2. บัวสาย (ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า Water Lily ภาษาไทยใช้คำว่า “อุบลชาติ”

ลักษณะของบัวสาย มีลำต้นอยู่ใต้ดิน เป็นหัวหรือเป็นเหง้า ใบและดอกเกิดจากตาหรือหน่อ เติบโตขึ้นมาที่ผิวน้ำด้วยก้านส่งใบและยอด บางชนิดมีใบอยู่ใต้น้ำ ใบเป็นใบเดี่ยว โดยขอบใบมีทั้งแบบเรียบและแบบคลื่น ผิวใบด้านบนเรียบเป็นมัน ด้านล่างมีขนละเอียดหรืออาจไม่มี ดอกเป็นดอกเดี่ยวมีทั้งชนิดที่บานกลางคืนและบานกลางวัน บางชนิดมีกลิ่นหอม และมีสีสันแตกต่างกันไป เรามักพบบัวสายอยู่ในแถบเอเชีย ยุโรป อัฟริกา ออสเตรเลีย และบริเวณเขตร้อนของอเมริกา

ดอกบัวเกือบทุกส่วนมีคุณสมบัติที่ช่วยรักษาอาการท้องเสีย ท้องเดิน ท้องร่วง หรือมีอาการบิดเรื้อรัง ช่วยบรรเทาอาการอักเสบของลำไส้

 สรรพคุณของดอก บัวมีฤทธิ์ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายจากความเครียด มีอารมณ์หงุดหงิดหรือมีความวิตกกังวล ดูแลระบบประสาทและบำรุงสมอง ทำให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น ร่างกายได้พักผ่อนอย่างเต็มที่


3. บัวขาบ เป็นบัวที่อยู่ในตระกูลอุบลชาติ หมายถึงบัวพันธุ์ที่มีลำต้นและก้านเรียบเกลี้ยง ไม่มีตุ่ม 
ลำก้านอ่อนแต่เหนียว จึงสามารถชูดอกพ้นน้ำเพียงเล็กน้อย มีทั้งที่ขึ้นเองตามธรรมชาติและที่เพาะพันธุ์ปลูกไม่ต่ำกว่า 400 ชนิด ดอกมีขนาดแตกต่างกัน กลีบดอกเรียวยาว มีหลายสี และมีทั้งบานกลางวัน และบานกลางคืน 
นอกจากนั้นบางชนิดยังมักลิ่นหอมอีกด้วย บัวในตระกูลนี้ใช้ประโยชน์อื่นๆ ได้บ้างเช่น ก้านของบัวสายนำมารับประทานเป็นอาหาร หัวของบัวขมและดอกของบัวสาย ใช้ทำยา โตนดบัว(ฝัก) มีเมล็ดเล็กๆ รับประทานได้
มีลักษณะของบัวขาบ ดอกบัว สีม่วงครามสวยดอกนี้มีชื่อเรียกว่าบัวขาบ มีกลิ่นหอม บานตลอดช่วงเวลากลางวัน 
ในภาษากวี เรียกว่า บัวนิล นิลอุบล นิลลุบล นิโลตบล(นิล แปลว่า สีขาบ สีน้ำเงิน สีเขียว สีดำ)

ดอกบัวใช้เป็นยาช่วยรักษาแผลพุพอง ฝาดสมานแผล และยังมีสรรพคุณช่วยห้ามเลือด  ทำให้เลือดหยุดไหลออกมาได้เร็วขึ้น

ดอกบัวมีสรรพคุณช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะเม็ดบัวที่เป็นแหล่งรวมของสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด จึงช่วยยับยั้งการเกิดโรคมะเร็งได้ ช่วยป้องกันไม่ให้เซลล์ของอวัยวะภายในร่างกายเสื่อมเร็ว รวมถึงในส่วนของผิวพรรณก็ไม่เหี่ยวย่น ริ้วรอยลดลง 



4.บัวเผื่อน ชื่อวิทยาศาสตร์ Nymphaea nouchali Burm.f. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Nymphaea stellata Willd.) จัดอยู่ในวงศ์บัวสาย (NYMPHAEACEAEสมุนไพรบัวเผื่อน มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น นิโลบล (กรุงเทพฯ), ป้านสังก่อน (เชียงใหม่), ปาลีโป๊ะ (มลายู นราธิวาส), บัวผัน บัวขาบ (ภาคกลาง), บัวแบ้ เป็นต้น
บางครั้งนักวิทยาศาสตร์จะแบ่งแยกระหว่างบัวเผื่อนและบัวผันออกจากกันเป็น 2 ชนิด แต่บางครั้งก็บอกว่าเป็นชนิดเดียวกันแต่เป็นคนละสายพันธุ์ โดยบัวเผื่อนจะมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Nymphaea stellata Wild. (สาเหตุที่เรียกว่าบัวเผื่อนนั้นมาจากสีของดอกเผื่อนระหว่างสีขาวครามและชมพูอ่อน) ส่วนบัวผัน จะมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Nymphaea Cyanea Roxb. (บัวผันมีชื่อเรียกอื่น ๆ อีกเช่น นิลุบล นิลอุบล บัวนิล) ซึ่งสรรพคุณทางยาก็น่าจะเหมือนกัน

ลักษณะของบัวเผื่อน  ดอกเป็นดอกเดี่ยว ขึ้นอยู่เหนือน้ำ ดอกมีสีขาวแกมชมพูถึงสีอ่อนคราม ดอกมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ถ้าดอกมีสีขาวแกมเหลือง ปลายกลีบดอกเป็นสีครามอ่อน แล้วเผื่อนเป็นสีขาวหรือปลายกลีบเป็นสีชมพูเมื่อใกล้โรย แต่ละดอกจะมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 8-10 เซนติเมตร มีกลีบดอกซ้อนกัน 2-3 ชั้น ปลายกลีบแหลม มีเกสรตัวผู้สีเหลืองจำนวนมาก รังไข่มีช่องประมาณ 10-20 ช่อง ฝังตัวแน่นอยู่ใต้แผ่นรองรับ ส่วนเกสรตัวเมียเป็นรูปถ้วย มีก้านดอกคล้ายกับก้านใบและมีความยาวไล่เลี่ยกัน สามารถออกดอกได้เกือบตลอดทั้งปี และดอกจะบานตอนช่วงสายและจะหุบตอนช่วงบ่าย ส่วนผลจะจมอยู่ใต้น้ำหลังจากการผสมเกสรแล้ว

สรรพคุณของบัวเผื่อน

  1. ช่วยบำรุงกำลัง (ดอก, เมล็ด, หัว)
  2. เมล็ดใช้คั่วช่วยบำรุงร่างกาย (เมล็ด, หัว)
  3. ช่วยบำรุงธาตุในร่างกาย (เมล็ด, หัว)
  4. ช่วยบำรุงหัวใจ (ดอก, เมล็ด, หัว)
  5. ช่วยแก้ไข้ตัวร้อน (ดอก)
  6. ช่วยบำรุงครรภ์ (ดอก, หัว)

ประโยชน์ของบัวเผื่อน

  1. เนื่องจากดอกบัวเผื่อนและดอกบัวผันมีดอกที่สวยงาม จึงมีการปลูกไว้ตัดดอกเพื่อขาย
  2. นิยมใช้ปลูกเป็นไม้ประดับไว้ในอ่างหรือสระน้ำเพื่อความสวยงาม โดยสามารถออกดอกได้ตลอดทั้งปี แถมยังปลูกเลี้ยงดูแลง่าย และมีความทนทานต่อสภาพอากาศได้เป็นอย่างดี



5.บัวขาวเรียกวา บุณฑริก ลักษณะใบและรูปทรงของดอกเหมือนกับบัวปทุม
เพียงแตสีกลีบดอกเปนสีเขียวบัวหลวงพันธุดอกขาวซอน ทรงปอมเนเดียวกับสัตตบงกซพระยาวินิจวดร เรียกวา สัตตบุษยหอมมากบัวหลวง เปนพันธุไมที่รูจักกันดี เพราะดอกสวย กลิ่นหอม นิยมใชในพิธีทางศาสนา แทบทุกสวนของบัวหลวงใชประโยชนไดทั้งหมด เหงา หรือที่ชาวบานเรียกวา รากบัว ใชรับประทาน ใบใชหอของแทน ใบตอง ใบออนใชเปนผัก กลีบดอกใชมวนบุหรี่ เกสรใชเปนสมุนไพร เชน ยาหอมมักเขาเกสรบัวหลวง
เมล็ดบัวใชเปนอาหาร

ลักษณะของบัวขาว เมื่อตูมจะมีลักษณะคล้ายรูปกรวยและเมื่อดอกบัวบานทรงของดอกจะมีลักษณะคล้ายร่ม  โดยดอกบัวบางชนิดจะมีกลีบซ้อนกันหลายชั้น

ดอกบัวมีสรรพคุณแก้อาการปวดหัว ปวดท้ายทอย วิงเวียน มึนงง มีอาการหน้ามืดคล้ายจะเป็นลม โดยการใช้เกสรบัวมาเป็นส่วนผสมในยาหอม เมื่อชงน้ำดื่มแล้วจะช่วยให้อาการดีขึ้น ทำให้ชุ่มชื่นใจ ช่วยชูกำลัง และยังช่วยขับเสมหะ

ดอกบัวถือเป็นยาโบราณที่มีฤทธิ์ช่วยลดความดันโลหิตสูง ขยายหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ และลดไขมันในเส้นเลือด จึงเป็นอาหารและยาที่ดีสำหรับคนที่มีอาการเกี่ยวกับโรคเหล่านี้ 












ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น